วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 13


24/04/2561

วันนี้อาจารย์ได้ให้ทำอาหารสำหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งแต่ลำกลุ่มก็ได้เตรียมของมาเพื่อทำอาหารสำหรับวันนี้





ประเมินอาจารย์       อาจารย์สอนเข้าใจและสอนสนุก
ประเมินเพื่อน           เพื่อตั้งใจทำงานและมาเรียนตรงเวลา
ประเมินตนเอง         ตั้งใจเรียนและมาเรียนตรงเวลา


ครั้งที่ 12


17/04/2561

อาหารและโภชนาการสำหรับเด็ก
¢อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่อร่างกายของมนุษย์นับตั้งแต่ปฏิสนธิอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อเริ่มมีชีวิตทารกจะได้รับอาหารผ่านทางสายรก และใช้ในการเจริญเติบโตตลอดมา
¢อาหารที่เรากินเข้าไปจะส่งผลต่อร่างกายของเรา เช่น เรากินอาหารที่มีคุณค่าประกอบไปด้วย เนื้อสัตว์ แป้ง น้ำตาล ผัก ผลไม้ในปริมาณที่พอเหมาะพอควรเราก็จะสามารเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างกระฉับกระเฉงมีพลังที่จะดำเนินชีวิตประจำวันได้
¢ในระยะแรกเกิดจนถึง 4 เดือน ให้เด็กกินนมแม่เพียงอย่างเดียว การเริ่มฝึกให้อาหารตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไปแบ่งได้เป็น 6 ระยะ ดังนี้
- อายุ 4 เดือน ระยะเริ่มแรกให้อาหารเสริมนอกจากกินนมแม่แล้ว ให้ข้าวบดผสมกับน้ำแกงจืดเล็กน้อยเพื่อให้กลืนง่าย ประมาณ 1 ช้อนก่อน ผสมไข่แดงต้มสุกประมาณ 1 ใน 4 ฟอง ปนน้ำแกงจืดที่ใส่ผักต่าง ๆ ให้สลับกับกล้วยน้ำว้าสุกงอม ใช้ปลายช้อนขูดทีละน้อยแล้วบดให้ละเอียด ให้ในประมาณที่น้อย ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์จึงเพิ่ม จะช่วยให้ทารกได้รับโปรตีนและพลังงานเพียงพอ ไม่เกิดการขาดสารอาหาร ควรให้กินในเวลาเดียวกันเพื่อหัดให้เกดความเคยชิน 
¢- อายุ 5 เดือน เด็กยังกินนมแม่ ควรเพิ่มโปรตีนจากปลาโดยใช้เนื้อปลาสุกบดละเอียดผสมน้ำแกงจืดจากผักเพื่อหัดให้ทารกรู้จักกินปลาที่เป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่ดี มีลักษณะอ่อนนุ่ม ย่อยง่าย ควรระมัดระวังก้างปลา ควรใส่ผักในข้าวสลับกับฟักทอง มะเขือเทศ หรือแครอท สลับกับการให้ไข่แดงต้มสุกบดให้ละเอียด 1 ฟอง เพื่อให้ได้วิตามินและป้องกันการขาดวิตามินเอ 
   - อายุ 6 เดือน กินนมแม่ ให้อาหารแทนนท 1 มื้อ โดยเริ่มกินข้าวบดผสมเนื้อปลาหรือไข่ต้ม สุกบด ใส่น้ำแกงจืด ผสมผัก ตับบด และกินผลไม้สุกบดละเอียดตามฤดูกาลเพื่อให้ได้วิตามินเพิ่มขึ้น ควรฝึกพัฒนาการกินอาหารให้เป็นเวลาเพื่อปรับเปลี่ยนอาหารเป็นมื้อได้ง่าย


¢- อายุ 7 เดือน ยังกินนมแม่ ในระยะนี้เด็กจะเริ่มมีฟันขึ้น กระเพาะอาหารสามารถสร้างน้ำย่อยได้แล้ว ทารกจะเกิดความรู้สึกอยากอาหารและกินอาหารได้มากขึ้น นอกจากให้ข้าวบดผสมเนื้อสัตว์ต่าง ๆ บดแล้ว เริ่มเพิ่มตับบดโดยใส่ผสมกับผักสุกบดกับน้ำแกงจืด สลับกับไข่ 1 ฟอง และผลไม้สุกบด ควรให้อาหารชนิดใหม่ ๆ ที่มีลักษณะข้นขึ้นและหยาบมากขึ้น เช่น เนื้อสัตว์ต่าง ๆ สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ เริ่มให้ไข่แดงและไข่ขาว เริ่มให้อาหารว่างเป็นผลไม้สุกเพิ่มได้วันละ 1 มื้อ
- อายุ 8-10 เดือน ให้กินนมแม่และให้อาหารแทนนมแม่ได้ 2 มื้อ โดยให้อาหารสลับกันในปริมาณที่มากขึ้น
- อายุ 10-12 เดือน ทารกจะมีพัฒนาการในการใช้มือมากขึ้น ควรให้ฝึกหยิบจับอาหารใส่ปากเอง โดยแม่หรือผู้ดูแลเด็กคอยช่วยเหลือ โดยหาอาหารที่ไม่แข็ง ไม่เหนียวหรือมีขนาดใหญ่เกินไป ให้ถือกินเองบ้าง ประเภทผัก ผลไม้ เช่น ฟักทอง แครอท มันต้ม แตงกวา มะละกอ มะม่วงสุก หั่นเป็นชิ้นยาว ๆ เพิ่มมื้ออาหารเป็น 3 มื้อ เมื่ออายุครบ 12 เดือน ก็จะสามารถกินอาหารได้มากขึ้นและหลากหลายขึ้น 
ประเมินอาจารย์       อาจารย์สอนเข้าใจและสอนสนุก
ประเมินเพื่อน           เพื่อตั้งใจทำงานและมาเรียนตรงเวลา
ประเมินตนเอง         ตั้งใจเรียนและมาเรียนตรงเวลา




ครั้งที่11



10/04/2561

วันนี้อาจารย์ได้ให้นำเสนองาน วิธีการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้กับเด็กปฐมวัย


ประเมินอาจารย์       อาจารย์สอนเข้าใจและสอนสนุก
ประเมินเพื่อน           เพื่อตั้งใจทำงานและมาเรียนตรงเวลา
ประเมินตนเอง         ตั้งใจเรียนและมาเรียนตรงเวลา


วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 10


20/03/2561

วันนี้อาจารย์ได้สอนเรื่อง แนวทางการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
ความหมายของสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมอาจแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. สิ่งแวดล้อมภายในตัวบุคคล (implicit environment)  ได้แก่
การทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบย่อยอาหาร
ระบบขับถ่าย ระบบต่อมไร้ท่อ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมภายนอก (explicit environment) ได้แก่
สิ่งแวดล้อมที่อยู่ภายนอกกายของมนุษย์ เช่น วัตถุสิ่งของ คน พืช สัตว์ กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดจากคนและสัตว์ รวมไปถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม (abstract) ได้แก่ ศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณีในสังคมด้วย

สิ่งแวดล้อมมีความหมายและความสำคัญต่อเด็กเล็ก คือเด็กได้รับการฝึกอบรมให้รู้จักบทบาทต่างๆ ในสังคม ทั้งในวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ไปพร้อมๆ กัน กระบวนการของการอบรมให้คนเป็นสมาชิกของสังคมนั้น จะขึ้นอยู่กับเจตคติ ความคาดหวัง และค่านิยมของสังคมที่คนๆ นั้นเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากบทบาทที่แสดงอยู่เปลี่ยนไปก็จะส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหมายความว่าการกระทำของเด็กคนหนึ่งจะมีผลต่อคนที่อยู่รอบๆ ข้าง และผลจากการกระทำของคนที่อยู่รอบๆ ข้าง จะมีผลกระทบต่อเด็ก ทั้งนี้เพราะเด็กอยู่ในสังคม

ปัจจัยของสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัยมีดังนี้
1. ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากการตอบสนองความต้องการพื้นฐาน
2. ประสบการณ์ที่ได้จากการสร้างสัมพันธภาพในครอบครัว
3. ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากสัมพันธภาพทางสังคม
4. ประสบการณ์ที่ได้รับความสะเทือนใจมาตั้งแต่วัยเด็ก

สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็กโดยพฤติกรรม
บางอย่างจะถูกกระตุ้นให้เร็วขึ้น โดยสิ่งแวดล้อมหรืออาจจะช้าลงถ้าเด็กไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นสิ่งแวดล้อมจึงมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ซึ่งจัดเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางกาย
2. สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และสังคม
3. สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา


การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมในเด็กปฐมวัย


ความหมายของคำว่า จริยธรรมไว้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ดังนี้ จริยธรรม คือ หลักแห่งการประพฤติ ปฏิบัติที่ดี ที่เหมาะที่ควร จริยธรรม คือ หลักคำสอนที่ว่าด้วยแนวทางการประพฤติที่เป็นหลักการและเป็นที่ยอมรับนับถือ”
ส่วนความหมายในแง่ของการนำไปสู่การปฏิบัตินั้น จริยธรรม มีความหมายตามที่เข้าใจโดยทั่วไปว่า จริยธรรม เป็นแนวทางที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการประพฤติ ปฏิบัติตนให้เป็นคนดี เพื่อประโยชน์สุขของตนเองและสังคม โดยการปฏิบัตินั้นจะทำในสิ่งที่สังคมยอมรับและเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม บุคคลที่มีความประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง เหมาะสม สังคมยอมรับ ทำให้เกิดความมีคุณค่าต่อตนเองและสังคม เรียกว่าเป็นผู้ที่มีจริยธรรม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คนที่มีจริยธรรม คือ บุคคลที่มีความรู้สึกผิดชอบ ชั่วดี นั่นเอง

ทฤษฎีจริยธรรมตามแนวคิดการให้เหตุผลเชิงจริยธรรมของโคลเบอร์ก
โคลเบอร์ก เป็นนักจิตวิทยาที่อธิบายถึงจริยธรรมของคนที่พัฒนาขึ้นไปพร้อม ๆ กับความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ ระดับก่อนกฎเกณฑ์ ระดับกฎเกณฑ์สังคม และระดับเลยกฎเกณฑ์ของสังคม สำหรับเด็กปฐมวัย จะอยู่ในขั้นแรกของทฤษฎีคือ ระดับก่อนกฎเกณฑ์ เด็กวัยนี้จึงตัดสินความถูกผิดจากความรู้สึกของตนเอง และตามกฎเกณฑ์ที่ ผู้อื่นกำหนดโดยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การหลีกเลี่ยงการลงโทษและการทำตามคำสั่ง (Punishment and obedience oreintation) เด็กวัยนี้จะประพฤติตนตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพราะหลีกเลี่ยงการลงโทษ ความถูก ผิด ตัดสินโดยพิจารณาผล ถ้าถูกลงโทษถือว่าทำไม่ดี เด็กวัยนี้จึงยังไม่มีเหตุผลในการตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ นอกจากปฏิบัติตามคำสอนของผู้ใหญ่
ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังรางวัลส่วนตัว (Personal reward Oreintation) เด็กจะนำความต้องการของตนมากำหนดสิ่งที่ถูกและผิด ถ้าหากปฏิบัติสิ่งใดแล้วได้รางวัลก็จะยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นการชมเชยและให้รางวัลเมื่อเด็กทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม จึงเป็นวิธีสอนจริยธรรม ความประพฤติให้กับเด็ก เนื่องจากเด็กยังไม่สามารถตัดสินสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยเหตุผลของตนเอง

ทฤษฎีการเรียนรู้จริยธรรมด้วยการกระทำตามแนวคิดของ
สกินเนอร์
สกินเนอร์ (Skinner) นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม เป็นผู้เสนอทฤษฎีที่มีความเชื่อว่าพฤติกรรมของคนเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ผลจากการแสดงพฤติกรรมนั้นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าพฤติกรรมนั้นจะมีแนวโน้มเกิดขึ้นอีกหรือไม่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับสถานการณ์เดิม ถ้าเกิดขึ้นอีกจะเรียกผลพฤติกรรมนั้นว่า การเสริมแรงทางบวก แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นอีกเรียกผลของพฤติกรรมนั้นว่า การลงโทษ การอธิบายถึงการเรียนรู้ด้านจริยธรรมผ่านกระบวนการเสริมแรงและการลงโทษ หากเด็กแสดงพฤติกรรมที่ดีแล้วได้รับการชมเชย ยกย่อง คือ เด็กจะแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก แต่หากแสดงพฤติกรรมใดแล้วถูกลงโทษ เด็กจะระงับหรือหยุดการกระทำนั้น ๆ ดังนั้นการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมของเด็กจึงขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ที่จะตัดสินว่า พฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมทางจริยธรรมที่เหมาะสม แล้วนำมาใช้ในการอบรมปลูกฝังเด็ก


ทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมตามแนวคิดของแบนดูรา

แบนดูรา (Bandura) นักจิตวิทยาสังคม อธิบายว่า พฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนในสังคมเกิดจากการเรียนรู้ โดยการสังเกตจากตัวแบบ ทั้งตัวแบบในชีวิตจริง หรือตัวแบบที่เป็นสัญลักษณ์ ทั้งนี้ตัวแบบจะทำหน้าที่ทั้งสร้างหรือพัฒนาพฤติกรรมจริยธรรม และจะทำหน้าที่ในการระงับ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เด็กปฐมวัยจึงเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมจากตัวแบบ ผู้ใหญ่และสังคมจึงเป็นตัวแบบที่เด็กดูสังเกตและลอกแบบ การสอนจริยธรรมในแนวคิดนี้คือ การสร้างและเลือกตัวแบบที่ดีให้เด็กได้สังเกต สำหรับกระบวนการในการพัฒนาการเรียนรู้พฤติกรรมจริยธรรมตามแนวคิดนี้มี  4 ขั้นตอนคือ


ขั้นตอนที่ 1 กระบวนการตั้งใจ เป็นการที่เด็กได้เห็นตัวแบบที่น่าสนใจ ดังนั้นตัวแบบจึงต้องแสดงพฤติกรรมจริยธรรมที่ชัดเจน     ไม่ซับซ้อน และเมื่อเด็กสนใจแสดงพฤติกรรมที่ดีจะต้องมีการเสริมแรง เพื่อให้เด็กเกิดพฤติกรรมซ้ำ

ขั้นตอนที่ 2 กระบวนการเก็บจำ เมื่อเด็กสังเกตเห็นตัวแบบแสดงพฤติกรรมที่ดี และได้รับการยกย่องชมเชย และได้เห็นตัวแบบแสดงพฤติกรรมบ่อย ๆ เด็กเกิดความสนใจต้องการแสดงพฤติกรรมเช่นเดียวกับตัวแบบ เด็กจะหาวิธีเก็บและจดจำข้อมูลการแสดงพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับสถานการณ์

 ขั้นตอนที่ 3 กระบวนการกระทำ เมื่อเด็กจดจำข้อมูลได้และเก็บไว้ในความคิดเมื่อเผชิญสถานการณ์ เด็กจะนำข้อมูลมาแสดงเป็นพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับพฤติกรรมของตัวแบบ เพื่อให้ได้ผลเหมือนตัวแบบ

ขั้นตอนที่ 4 กระบวนการจูงใจ เมื่อเด็กสังเกตตัวแบบและจดจำข้อมูลไว้ และเมื่อเผชิญสถานการณ์ ถ้าหากมีการจูงใจและเด็กคาดว่าจะได้รับการเสริมแรง เด็กจะแสดงพฤติกรรมออกมา ดังนั้นถ้าหากเด็กแสดงพฤติกรรมดี จึงควรได้รับผลในลักษณะการเสริมแรงเหมือนตัวแบบได้รับ การจูงใจจึงเป็นสิ่งสนับสนุนให้เด็กแสดงพฤติกรรมจริยธรรม

ภาพการเรียนการสอน






ประเมินอาจารย์       อาจารย์สอนเข้าใจและสอนสนุก
ประเมินเพื่อน           เพื่อตั้งใจทำงานและมาเรียนตรงเวลา
ประเมินตนเอง         ตั้งใจเรียนและมาเรียนตรงเวลา




วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 9


13/03/2561


วันนี้อาจารย์ได้มีการสอบเก็บคะแนน 

ครั้งที่ 8


6/03/2561

วันนี้อาจารย์ให้แต่ละกลุ่มนำเสนอการแสดงเรื่องการเลี้ยงดูเด็กมีทั้งหมด 4 แบบ 
1.การเลี้ยงดูแบบรักมากเกินไป
2.การเลี้ยงดูแบบประชาธิปไตร
3.การเลี้ยงดูแบบคาดหวัง
4.การเลี้ยงดูแบบปล่อยปะละเลย

ซึ่งทุกกลุ่มออกมานำเสนอได้ดีมาก






ประเมินอาจารย์       อาจารย์สอนเข้าใจและสอนสนุก
ประเมินเพื่อน           เพื่อตั้งใจทำงานและมาเรียนตรงเวลา
ประเมินตนเอง         ตั้งใจเรียนและมาเรียนตรงเวล



วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

การเรียนการสอนครั้งที่ 7




ความหมายของการอบรมเลี้ยงดูเด็ก หมายถึง การที่บิดามารดาหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องปฏิบัติต่อเด็กที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ให้เจริญเติบโตและมีพัฒนาการครบ

ความสำคัญของพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดู  คุณภาพและประสิทธิภาพของมนุษย์ขึ้นอยูกับพัฒนาการของแต่ละคน การเรียนรู้ของครั้งแรกของมนุษย์ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูครั้งแรกของพ่อแม่โดยถือว่า พ่อแม่คือครูคนแรก












ประเมินอาจารย์       อาจารย์สอนเข้าใจและสอนสนุก
ประเมินเพื่อน           เพื่อตั้งใจทำงานและมาเรียนตรงเวลา
ประเมินตนเอง         ตั้งใจเรียนและมาเรียนตรงเวลา